คติประจำใจ

อุปสรรค์ทุกอย่างต้องผ่านไปให้ได้ แม้จะยากเพียงไหนก็ตามเราต้องก้าวต่อไป



วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย



ฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย เป็นทีมฟุตบอลหญิงตัวแทนของประเทศไทย ในการแข่งขันฟุตบอลระดับนานาชาติ ดูแลโดยสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่ผ่านมามีผลงานในระดับเอเชียคือชนะเลิศการแข่งขัน ฟุตบอลเอเชียหญิง 1983 (พ.ศ. 2527) และชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลในซีเกมส์ 4 ครั้ง และในปัจจุบัน (มิ.ย. 50) ทีมชาติหญิงได้รับการจัดอันดับจากฟีฟ่า โดยได้รับอันดับที่ 33 ในอันดับโลก [1] และเป็นอันดับที่ 7 ในภูมิภาคเอเชีย
ผู้ฝึกสอนปัจจุบันคือ สุพล ยะปะภา
ฟุตบอลโลกหญิง
1991-2007 - ไม่ผ่านรอบคัดเลือก


ฟุตบอลเอเชียหญิง
ในฟุตบอลเชียหญิง ทีมชาติไทยชนะเลิศ 1 ครั้ง ในปี 1983 และได้รองชนะเลิศ 3 ครั้ง ในปี 1975, 1977 และ 1981
• 1975 - รองชนะเลิศ
• 1977 - รองชนะเลิศ
• 1979 - ไม่ผ่านรอบคัดเลือก
• 1981 - รองชนะเลิศ
• 1983 - ชนะเลิศ
• 1986 - อันดับสาม
• 1989 - รอบแรก
• 1991 - รอบแรก
• 1993 - ไม่ผ่านรอบคัดเลือก
• 1995 - รอบแรก
• 1997 - ไม่ผ่านรอบคัดเลือก
• 1999 - รอบแรก
• 2001 - รอบแรก
• 2003 - รอบแรก
• 2006 - รอบแรก
ซีเกมส์
• เหรียญทอง 4 ครั้ง - ครั้งที่ 13 (ไทย), 18 (ไทย), 19 (อินโดนีเซีย), 24 (ไทย)
• เหรียญเงิน 1 ครั้ง - ครั้งที่ 21 (มาเลเซีย)

ฟุตบอลเยาวชนหญิง
• ฟุตบอลโลกหญิง ยู 19 - ร่วมเล่น ในปี 2004 ในฐานะเจ้าภาพ
• ฟุตบอลเอเชียเยาวชนหญิง ยู 17 - อันดับสาม - 2005 (เกาหลีใต้)

ชุดแข่ง

คลิปน่ารักๆ

วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

TOYOTA VIOS Super 1500 By Dang Sticker

TOYOTA VIOS


โตโยต้า วีออส วันเมคเรช ที่ถูกปลดระวางแล้ว กลายมาเป็นรถยอดฮิตในการแข่งขันรุ่น Super 1500 รายการ Super Car Thailand ซึ่งเริ่มการแข่งขันครั้งแรกในฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งได้รับการตอบรับจากนักแข่งเป็นอย่างมาก คันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งคันที่ลงแข่ง วีออส วันเมคเรช มาลงแข่งขันในรุ่น Super 1500 ซึ่งผู้ที่ขับก็คือ อาร์ท หรือ อนวัช นุชพุ่ม ทายาทร้านสติกเกอร์ชื่อดัง แดงสติกเกอร์


ก่อนหน้าที่อาร์ทจะมาแข่งในรายการ Super 1500 ก็เคยลงแข่งขันด้วยรถ Concept Car มาก่อน แล้วก็หยุดพักไปประมาณ 2 ปีจนเกิดรายการนี้ขึ้นมา ก็เลยสนใจ เพราะดีดลูกคิดดูแล้ว แข่งรุ่นนี้ปลอดภัยต่อเงินในกระเป๋าที่สุด จึงไปหาซื้อรถแข่งวีออส ตัวเก่าที่ปลดระวางแล้วมาคันหนึ่ง และที่เลือกรถแข่งเป็นโตโยต้า วีออส ก็เพราะเป็นรถแข่งเก่ามาอยู่แล้ว ไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวรถ เป็นรถมีทะเบียนขับไปไหนมาไหนได้ แข่งไปแข่งมาเกิดเบื่อหรือไม่รุ่งขึ้นมา ก็ประกอบเป็นรถบ้านขายได้ อะไรจะคุ้มขนาดนั้น
สร้างความแตกต่างด้วยชุดพาร์ทออกแบบเอง



โดยปกติแล้วตัวแข่ง วีออส วันเมคเรช ก็จะมีชุดพาร์ทมาให้อยู่แล้ว นั่นก็แปลว่ามีรถหน้าตาเหมือนกันอยู่ 20 คัน แต่ไหน ๆ ก็ออกมาจากการแข่งขันวันเมคเรชแล้วนี่ รถแข่งก็ไม่ต้องเป็นพาร์ทชุดเดียวกันแล้ว อาร์ทเลยออกแบบชุดพาร์ทใหม่ด้วยตัวเอง โดยช่วงหน้าเปลี่ยนใหม่หมดทุกชิ้น แก้มหน้า 2 ข้าง เพิ่มความกว้างมากขึ้น หรือศัพท์รถซิ่งเรียกว่าดึงโป่ง ดึงออกมาแล้วคราวนี้ล้อก็เลยมุดเข้าไปในรถ จึงต้องหนุนล้อกลับออกมาให้เต็มซุ้ม




ฝากระโปรงหน้าก็ออกแบบใหม่ ให้มีช่องระบายลมร้อนที่ไหลผ่านมาจากหม้อน้ำ ไหลออกไปนอกรถ วัสดุที่ใช้ทำก็เป็นคาร์บอนไฟเบอร์ โชว์ลวดลายเพื่อความสวยงาม กันชนหน้าเอาของเดิมมาดัดแปลง ต่อเติมเข้าไปใหม่ให้รับกับโป่งหน้า และได้หน้าตาที่ไม่เหมือนใคร เวอร์ชั่นนี้ยังมีแต่ด้านหน้า แต่ต่อไปจะมีด้านหลังเพิ่มเติม ซึ่งตอนนี้อยู่ในระหว่างการผลิต และอีกไม่นานก็จะมีวางจำหน่ายด้วย (ตัดสติกเกอร์อย่างเดียวยังรวยไม่พอ)

ภายในรถก็เป็นมาตรฐานทั่ว ๆ ไปสำหรับรถแข่ง รื้ออุปกรณ์ภายในออก และเอาระบบแอร์ออกไปทั้งระบบเพื่อลดน้ำหนัก เพิ่มโรลบาร์ 6 จุด เบาะแข่ง BRIDE เข็มขัดนิรภัย 4 จุด SCHROTH พวงมาลัย OMP คอพวงมาลัยถอดได้เพื่อความสะดวกในการขึ้น-ลงรถ แผงคอนโซลหน้าปัดหุ้มลายคาร์บอน เพื่อความดุดัน เครื่องจับเวลายี่ห้อยอดฮิต ALFANO และแป้นคันเร่งและเบรกแบบ OTOP ภูมิปัญญาชาวบ้านจริงๆ


เครื่องยนต์ฝีมือป๋าแดง DRAG MASTER


เห็นชื่อคนทำเครื่องแล้ว อย่าเพิ่งนึกว่าผมเขียนผิดนะครับ เครื่องยนต์ตัวนี้เป็นฝีมือการโมดิฟายจากป๋าแดง Drag Master จริง ๆ ขนาดเครื่องยนต์ระดับ 1,000 แรงม้า ยังทำมาแล้ว ตัวนี้แค่ร้อยกว่า ๆ ป๋าบอกสบายมาก ซึ่งตามกติกาในรุ่นนี้ให้ใช้เครื่องยนต์ 1,500 ซี.ซี. ซึ่งไม่สามารถขยายความจุได้อีก ก็หันมาดูที่ฝาสูบ ขัดพอร์ตทั้งไอดีไอเสีย เจียร์บ่าวาล์วใหม่ ปาดฝาสูบเพิ่มกำลังอัดเป็น 10.4:1 ซึ่งกติกาให้ทำได้ 10.5:1 แต่กลัวว่าจะใช้กับน้ำมันออกเทน 95 ไม่ได้


กล่อง ECU ที่ใช้ก็เอากล่องเดิมพ่วงเข้ากับ MOTEC M4 ที่ต้องทำแบบนี้ก็เพราะกล่อง M4 มีช่องสัญญาณไม่พอที่จะเอามาเปิดระบบ VVTi จึงเอากล่องเดิมมาใช้เปิดระบบแทน ระบบที่ไอเสียที่ใช้ก็เป็นของ NITTO ทั้งชุด ส่วนระบบส่งกำลัง ใช้เกียร์เดิม ๆ ติดรถอยู่ มี LSD ของ TRD และคลัตช์แบบแผ่นเดียวของ Exedy

ช่วงล่าง TEIN By TEIN MASTER SHOP
ช่วงล่างที่ติดรถคันนี้มาก็เป็นชุดสตรัท BUNDOH ซึ่งก็ใช้ได้ในระดับหนึ่งแล้ว มันพอใช้สำหรับการแข่งขันแบบวันเมคเรซ เพราะทุกคันใช้เหมือนกันหมด แต่พอมาสู่การแข่งขันที่กติกาเปิดมากขึ้น ก็คงต้องขยับตามคนอื่นเขาบ้าง ไม่อย่างนั้นวิ่งอมบ๊วยอยู่ท้ายแถวแน่นอน ด้วยความที่เป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน อาร์ทเลยไปให้พี่ใหญ่แห่ง TEIN MASER SHP จัดการกับช่วงล่างให้

โดยคันนี้พี่ใหญ่จัดชุด TEIN รุ่น SUPER STREET ทำการโมดิฟายซ้ำเข้าไปอีก โดยเปลี่ยนวาล์วและเปลี่ยนช่วงชักให้สั้นลง ชุดนี้ก็กลายเป็น RACING SPEC ไปแล้ว แต่รุ่นนี้ไม่มียางเบ้าช็อคฯ มาให้ ก็เลยถอดเอาเบ้าเดิมของ BUNDOH และเป็น Ball Joint มาใส่แทน ส่วนสปริง พี่ใหญ่เซ็ตเอาไว้ให้ที่ด้านหน้า 12 กก.-มม. และด้านหลัง 16 กก.-มม. ที่สปริงแข็งขนาดนี้ก็เพราะตอนแข่งขันใช้ยางสลิค ความแข็งของสปริงจึงต้องมากกว่าตอนใช้ยางเรเดียล


ส่วนมุมล้อคันนี้ตั้งมุมแคมเบอร์ล้อหน้าเอาไว้ -3 องศา มุมโทเป็น 0 ที่ด้านหลังแคมเบอร์ -1 และโทเป็น 0 เช่นกัน ในส่วนระบบเบรก ก็ไม่ได้ทำอะไรมาก เพราะในรุ่นนี้ความเร็วไม่สูงมากนัก จึงได้ใช้ระบบเบรกเดิม ๆ เปลี่ยนแค่จานเบรกจาก Run Stop รุ่นที่มีร่องคายฝุ่นผ้าเบรก และเปลี่ยนผ้าเบรกเป็นเกรด Racing ของ Project U


ในปีนี้เราคงได้เห็นรถคันนี้วาดลวดลายอยู่ในการแข่งขันอย่างเต็ม ๆ เพราะในปีที่ผ่านมาเป็นปีแรกที่เข้าร่วมการแข่งขัน จึงได้ลองชิมลางเอาแบบเดิม ๆ ไปแข่งก่อน แต่ปีนี้อาร์ทบอกว่าพร้อมแล้ว และน่าจะทำผลงานได้ดี ยังไงก็ลองติดตามผลงานของรถคันนี้กันดูนะครับ


วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553

รถ ferrari enzo

ประวัติรถ ferrari enzo
รถสูตรหนึ่งนอกสนามแข่ง

ค่ายเฟอร์รารี่นำซูปเปอร์คาร์รุ่นล่าสุดของตน คือ เฟอร์รารี่ เอนโซ (Ferrari Enzo) เปิดตัวต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการ ในมหกรรมยานยนต์นานาชาติ รายการปารีสมอเตอร์โชว์ประจำปี 2002 ซึ่งกำหนดเปิดให้ประชาชนทั่วไปชมจนถึงวันที่ 13 ตุลาคม

เฟอร์รารี่รายงานข่าวความคืบหน้าของเฟอร์รารี่ เอนโซ ซูเปอร์คาร์ที่ ถอดแบบมาจากรถแข่งฟอร์มูล่า วัน (F-1) มาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ค่าย พีนินฟาริน่าพัฒนารุ่นคอนเซ็ปต์คาร์ออกมา และนำไปเปิดตัวครั้งแรกใน นิทรรศการ "Artedinamica" ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย (Museum of Contempory Art:MOT) กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 26 เมษายน ที่ผ่านมา ขณะอยู่ในคราบคอนเซ็ปต์คาร์ เฟอร์รารี่เรียกซูเปอร์คาร์ รุ่นนี้ว่า "เอฟ 140 (Ferrari F140)" หรือบางครั้งก็เรียกเป็นชื่อรหัสว่า เอฟเอ็กซ์ (FX)
สื่อมวลชนสรุปวิเคราะห์ว่า สาเหตุที่เฟอร์รารี่นำเอนโซขณะเป็นคอนเซ็ปต์คาร์ไปเปิดตัวทื่ญี่ปุ่น แทนที่จะเปิดตัวในมหกรรม ยานยนต์ในยุโรปเหมือนรถรุ่นอื่นๆ เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นตลาดสำคัญของเฟอร์รารี่ และเอนโซเป็นผลงานการออกแบบของ เคน โอคุยามะ ยอดดีไซเนอร์ชาวญี่ปุ่น ที่ทำงานอยู่กับพีนินฟาริน่าหลายปี และเพิ่งลาออกจากค่ายดีไซน์สปอร์ตคาร์เลื่องชื่อแห่งนี้ เมื่อปีที่แล้วสำหรับ ชื่อเป็นทางการ คือ "เอนโซ" เฟอร์รารี่ตั้งเป็นเกียรติแก่เอนโซ เฟอร์รารี่ ผู้ก่อตั้งบริษัทที่เสียชีวิตไปเมื่อปี 1988
ถอดแบบ เอฟ-1
โฉมภายนอก และองค์ประกอบภายในของเอนโซ พัฒนามาจากรถแข่ง ฟอร์มูล่า วัน หรือรถสูตรหนึ่งเป็นหลัก โดยทีมวิศวกรที่ รับผิดชอบโครงการ ผลิตเอนโซ ได้ไปขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญทีมเฟอร์รารี่ ในสังเวียน ฟอร์มูล่า วัน ชิงแชมป์ รวมทั้ง มิชาเอล ชูมัคเกอร์ ยอดนักแข่งเจ้าของ แชมป์โลก หลายสมัย และนำมาเป็นส่วนประกอบในการผลิต


โฉมส่วนหน้าของเอนโซเริ่มจากการออกแบบกระโปรง รวมกับปีกข้าง สปอยเลอร์ และช่องดักลม ซึ่งเรียกรวมๆ ว่า ส่วนของ "จมูก" สะท้อนโฉม ของรถแข่ง เฟอร์รารี่ที่โลดแล่นล่าชัย อยู่ในสนามแข่งได้อย่างชัดเจน
สเตฟาโน คาร์มัสซี่ ผู้เชี่ยวชาญอากาศพลศาสตร์ของเฟอร์รารี่ ที่ดูแลเรื่องดังกล่าวให้เอนโซกล่าวว่า จมูกสไตล์รถสูตรหนึ่งของ เอนโซ ซึ่งรวมทั้งรูปแบบของกระโปรงหน้าที่เป็นการออกแบบ ที่นอกจากต้องการเน้นให้คล้ายกับรถสูตรหนึ่งของเฟอร์รารี่แล้ว ยังเป็น ดีไซน์ที่ช่วยด้านอากาศพลศาสตร์ด้วย โดยเป็นส่วนรับอากาศให้ผ่านเข้าสู่ใต้ท้องรถ เข้าไปปรับศูนย์กลางแรงกดอากาศ พลศาสตร์ไล่สู่ด้านหลัง


ขณะที่การออกแบบใต้ท้องรถส่วนหลัง ก็ช่วยเพิ่มแรงกดให้แก่รถด้วย ส่วนดีไซน์ด้านข้างที่ประยุกต์จากรถสูตรหนึ่ง ได้แก่ช่องระบายความร้อน เบรกขนาดใหญ่ ทั้งบริเวณล้อหน้าและหลัง รูปแบบกระจกบังลมกว้าง แนวเส้น ตัดลงสู่ช่องระบายอากาศล้อหน้า เป็นดีไซน์ที่สื่อมวลชนในยุโรป ระบุว่า คล้ายรูปแบบของรถแข่ง 250 GT ที่เฟอร์รารี่ผลิตออกมาเมื่อปี 1959 ขณะที่ส่วนหลังโดดเด่นด้วยไฟคู่รูปแบบคล้ายไฟมอเตอร์ไซค์ 4 ชุด จัดวางไว้มุมข้างส่วนบนสุดของปีกหลังด้านละ 2 ชุด เป็นดีไซน์คล้ายกับ เฟอร์รารี่ รอสซ่า
โดยภาพรวมแล้ว โฉมภายนอกของเอนโซ เป็นดีไซน์ผสมผสานรูปแบบของเฟอร์รารี่ในอดีต 3 รุ่น ประกอบด้วย 288 GTO (เฟอร์รารี่ผลิตออกมาเมื่อปี 1984) F40 (1987) และ F50 (1995) เหยี่ยวข่าวอเมริกันค่ายหนึ่งให้ความเห็นว่า โฉมของเอนโซ โดดเด่น ตามสไตล์ของรถค่ายนี้ แต่ไม่ใช่รุ่นที่งดงามที่สุดของเฟอร์รารี่ ส่วนห้องโดยสารที่ใช้ความรู้จากเอฟ-1 มาประยุกต์ออกแบบ ได้แก่รูปแบบที่กะทัดรัด คล้ายค็อกพิตของเอฟ-1
เครื่องยนต์รุ่นใหม่ล่าสุด

เอนโซ ไม่แตกต่างจากเฟอร์รารี่ทุกรุ่นที่ผ่านมา นั่นก็คือ มีเครื่องยนต์ เป็นองค์ประกอบเด่นที่สุด หัวใจของเอนโซ รหัสเอฟ 140 เป็นเครื่องที่ เฟอร์รารี่พัฒนาจากเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของตน สามารถเรียกแรงบิดได้สูง 383 ปอนด์-ฟุต ตั้งแต่รอบเครื่องอยู่ที่ 3000 รอบต่อนาที ถึงรอบสูงสุด 8200 รอบต่อนาที
องค์ประกอบสำคัญของเครื่องยนต์ที่ออกแบบใหม่ทั้งหมดของเฟอร์รารี่รุ่นนี้ ประกอบด้วยแคมชาฟท์ขับด้วยโซ่ ก้านสูบ ไทเทเนียม ไอดี และไทมิ่งลูกเบี้ยว ชนิดผันแปร และเป็นเครื่องมีมิติขนาดเล็ก มีน้ำหนักน้อยกว่า 500 ปอนด์ เครื่องยนต์ติดตั้งไว้กับ ซับเฟรมอัลลอย ส่วนหลังเป็นที่จัดวางเกียร์บล็อกซ์และถังน้ำมันหล่อลื่น สำหรับระบบหล่อลื่นแบบแห้ง หล่อลื่นเกียร์ และระบบล็อก อัตโนมัติ (เช่น ระบบล็อกเฟืองท้าย) องค์ประกอบต่างๆ สามารถมองเห็นได้ถนัดเมื่อเปิดฝากระโปรงดูในห้องเครื่อง
สมรรถนะสุดประทับใจ

ออโต้วีคแนะนำการใช้กลไกต่างๆ บนพวงมาลัยจากประสบการณ์ช่วงสั้นๆที่ได้สัมผัสเอนโซไว้ว่า ปุ่มต่างๆบนด้านซ้ายใช้สำหรับปรับระบบที่จะปรากฏข้อมูลบนจอข้างแผงหน้าปัด ขณะที่ชุดขวามือใช้ปรับระบบ ASR หรือระบบปรับการทำงานของกันสะเทือนและระบบส่งกำลัง และอีกปุ่มที่ ระบุ "Race" สำหรับใช้ในเวลาต้องการความเร็วสูงส่วนปุ่มลูกศร อยู่ทาง ด้านซ้าย และด้านขวาก้านพวงมาลัย เป็นปุ่มไฟเลี้ยว และปุ่มสีเงินสำหรับ เกียร์ถอย เหยี่ยวข่าวอเมริกันกล่าวว่าการได้สัมผัสเอนโซ ถือเป็นประสบการณ์ ที่ตื่นเต้นและเลือดสูบฉีดแรง

เนื่องจากเอนโซมีความแรง และว่องไวอย่างน่าทึ่ง ขณะที่การทรงตัว หนักแน่น และมั่นคง ทั้งจังหวะเข้าโค้ง และจังหวะใช้ความเร็วสูง ในทาง ตรง และดิสก์เบรก ขนาด ใหญ่ ของ Brembro ผลิตจากคาร์บอน ก็ทำงาน หยุดความดุดันของเอนโซได้เฉียบคม สมรรถนะของเอนโซดังกล่าว เหยี่ยว ข่าวอเมริกันยกให้เป็นเครดิตของ ระบบกันสะเทือน ที่ทรง ประสิทธิภาพ ยางบริดจสโตนผลิตเป็นพิเศษเฉพาะรถรุ่นนี้ และหลักอากาศพลศาสตร์ ของรถ โดยการพัฒนาหลักอากาศพลศาสตร์ ส่งผลให้เอนโซมีค่า สัมประสิทธิ์ แรงต้านทานกระแสลม หรือค่าซีดี (Cd) เหลือเพียง 0.36

ส่วนอุปกรณ์ปรับหลักอากาศพลศาสตร์ของเอนโซ ทำงานตรงกันข้าม กับชุดของรถโดยทั่วไป แทนที่จะรับแรงกดจากอากาศ ลงสู่ช่วงล่างใน จังหวะรถวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดชุดของเอนโซซึ่งประกอบด้วย สปอยเลอร์ หลัง และสปอยเลอร์ปรับอัตโนมัติ อยู่ใต้ท้องรถใกล้กับล้อหน้าจะทำงาน ควบคุมการทรงตัวของรถขณะเข้าโค้ง และจะปรับเป็นกลไกฉุดพลังต่ำ เมื่อ รถวิ่งด้วยความเร็ว มากกว่า 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป

สเตฟาโน คาร์มัสซี่ ให้เหตุผลว่า การออกแบบให้สปอยเลอร์ทำหน้าที่ รับแรงกดอากาศสู่ช่วงล่างของรถ ในจังหวะที่วิ่งด้วย ความเร็วสูง จำเป็นต้องปรับระดับความหนืดแข็งของสปริง และหากปรับระดับสปริง จะทำให้การวิ่งในระดับความเร็วปรกติเสีย ความสมบูรณ์ อีกทั้งยังจะทำให้การนั่งโดยสารขาดความนุ่มนวลไป

ผลิตตามใบสั่งเท่านั้น

เฟอร์รารี่จะเปิดสายการผลิตเอนโซปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ โดย จำกัดจำนวนผลิตไว้เพียง 399 คัน กำหนดส่งไป จำหน่ายในสหรัฐ 70 คัน โดยจะส่งรถชุดแรกให้ลูกค้าในเดือนมกราคมปีหน้าสำหรับกระบวนการ ผลิต เฟอร์รารี่จะผลิตตามใบสั่งของลูกค้า โดยลูกค้าในยุโรป เฟอร์รารี่มี โครงการเชิญไปเลือกเบาะนั่ง และเลือกตำแหน่งแป้นบังคับ เพื่อให้เหมาะ สมกับตนเอง ที่โรงงานประกอบของเฟอร์รารี่ในมาราเนลโล ส่วนลูกค้าใน สหรัฐ (ไม่มีข้อมูลเกียวกับลูกค้าเอเชีย) เฟอร์รารี่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะให้เดิน ทางไปเลือกเบาะและแป้นบังคับที่อิตาลี หรือจะตั้งศูนย์ขึ้นในสหรัฐ เพื่อ ประหยัดค่าใช้จ่ายของลูกค้า

ขนาดและสีของเบาะนั่งมีให้เลือก4ระดับ ขณะที่สีบอดี้ มีให้เลือกเพียง 2 สี คือแดง และเหลือง และคาดว่า เฟอร์รารี่ อาจจะเพิ่มสีดำเข้ามาในอนาคต ส่วนการติดตั้งแป้นบังคับ เฟอร์รารี่กำหนดไว้ไม่น้อยกว่า 16 ระดับ เพื่อให้ครอบคลุม ขนาดร่างกายของลูกค้าให้ได้มากที่สุด ขั้นตอนการประกอบ เอนโซ ใช้พนักงานผู้ชำนาญงาน ประกอบด้วยมือทั้งหมด โดย ใช้เวลาประกอบ 4 สัปดาห์ต่อหนึ่งคัน การประกอบเอนโซใช้ เวลานานกว่าการผลิตเฟอร์รารี่ 360 โมเดน่า 575 เอ็ม มาราเนโล และ 456 จีทีเอ โดยโมเดน่า ใช้เวลาผลิตเพียง 4 วัน ขณะที่สองรุ่นหลังใช้เวลาผลิตเพียง 6 วัน

สนนราคาค่าตัว
สำหรับตัวเลขราคาค่าตัวของม้าป่าฝีเท้าจัดจ้านที่สุดรุ่นนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 670,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 28.5 ล้านบาท



ฟุตบอลโลก 2010

และแล้วฤดูการแห่งคาวมมันก็จะมาถึงอีกครั้นหนึ่งเมื่อการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 จะระเบิดขึ้นภายในกลางปีนี้





ประวัติฟุตบอลโลก
ฟุตบอลโลก หรือ ฟุตบอลโลกฟีฟ่า (FIFA World Cup) เป็นการแข่งขัน
ฟุตบอลระหว่างประเทศโดยทีมฟุตบอลชายร่วมเข้าแข่ง จัดการแข่งขันโดยฟีฟ่า (ฟีฟ่ายังคงเป็นผู้จัด ฟุตบอลโลกหญิงเช่นกัน) ฟุตบอลโลกเริ่มครั้งแรกในปี พ.ศ. 2473 ใน ฟุตบอลโลก 1930 และจัดต่อเนื่องมาทุก 4 ปี ยกเว้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (1942, 1946)ภายหลังจากการแข่งขันรอบคัดเลือก ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายจะประกอบด้วยทีมชาติ 32 ทีม (เพิ่มจาก 24 ทีมเป็น 32 ทีมใน ฟุตบอลโลก 1998) ร่วมแข่งขันกันเป็นเวลาประมาณ 1 เดือน และได้ชื่อว่าเป็นการแข่งขันกีฬาที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก โดยใน ฟุตบอลโลก 2002 มีสถิติผู้ชมประมาณ 1,100 ล้านคนทั่วโลก
เมื่อจบการแข่งขันจะมีการมอบรางวัลต่างๆ สำหรับนักฟุตบอลยอดเยี่ยม ดูได้ที่
รางวัลฟุตบอลโลสำหรับการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งต่อไป ฟุตบอลโลก 2010 จะถูกจัดขึ้นที่ ประเทศแอฟริกาใต้ ในปี พ.ศ. 2553 และฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิล ในปี พ.ศ. 2557
ผู้ชนะเลิศฟุตบอลโลก
1.
ฟุตบอลทีมชาติบราซิล - 1958, 1962, 1970, 1994, 2002 (5 ครั้ง)
2.
ฟุตบอลทีมชาติอิตาลี - 1934, 1938, 1982, 2006(4 ครั้ง)
3.
ฟุตบอลทีมชาติเยอรมนี - 1954, 1974, 1990 (3 ครั้ง)
4.
ฟุตบอลทีมชาติอาร์เจนตินา - 1978, 1986 (2 ครั้ง)ฟุตบอลทีมชาติอุรุกวัย - 1930, 1950 (2 ครั้ง)
5.
ฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ - 1966 (1 ครั้ง)ฟุตบอลทีมชาติฝรั่งเศส - 1998 (1 ครั้ง)
6. แผนที่แสดงความสำเร็จ ของฟุตบอลทีมชาติแต่ละประเทศ สีต่างๆ แสดงความสำเร็จของแต่ละประเทศ และจุดแสดงถึงได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพ







สถิติสำคัญ
ชัยชนะสูงสุด

-
ฮังการี 9-0 เกาหลีใต้ (1954)
-
ยูโกสลาเวีย 9-0 ซาอีร์ (1974)
-
ฮังการี 10-1 เอลซัลวาดอร์ (1982)
- ชัยชนะสูงสุดในรอบคัดเลือก -
ออสเตรเลีย 31-0 อเมริกันซามัว (รอบคัดเลือก ฟุตบอลโลก 2002)
- ผู้เล่นในฟุตบอลโลกสูงสุด - 5 ครั้ง -
แอนโทนีโอ คาร์บาฮาล (เม็กซิโก, 1950-1966) และ โลทาร์ มัทเทอูส (เยอรมนี, 1982-1998)
- ผู้เล่นลงสนามในฟุตบอลโลกสูงสุด - 25 นัด -
โลทาร์ มัทเทอูส (เยอรมนี)
- ผู้เล่นทำประตูสูงสุด - 15 ประตู -
โรนัลโด (บราซิล 18 นัด 4 ฟุตบอลโลก)
- ผู้เล่นทำประตูเร็วสุด - 11 วินาที -
ฮาคาน ชูเคอร์ (ตุรกี) นัดแข่งกับทีมชาติเกาหลีใต้ (2002)
- ผู้เล่นอายุน้อยสุดที่ทำประตูได้ - 17 ปี 239 วัน -
เปเล่ (บราซิ) นัดแข่งกับ ทีมชาติเวลส์ (1958)
- ผู้เล่นอายุมากสุดที่ทำประตูได้ - 42 ปี 39 วัน -
โรเจอร์ มิลลา (แคเมอรูน) นัดแข่งกับ ทีมชาติรัสเซีย (1994)
- นัดที่ใบเหลืองและใบแดงมากสุด - 16 ใบเหลือง 4 ใบแดง -
โปรตุเกส-เนเธอร์แลนด์ (2006) กรรมการ วาเลนติน วาเลนติโนวิช อิวานอฟ ชาวรัสเซีย
ทีมที่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย
ผลการจับสลากแบ่งกลุ่มในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย




กลุ่ม A กลุ่ม B กลุ่ม C กลุ่ม D
แอฟริกาใต้ อาร์เจนตินา อังกฤษ ออสเตรเลีย
เม็กซิโก ไนจีเรีย สหรัฐอเมริกา เยอรมนี
อุรุกวัย เกาหลีใต้ แอลจีเรีย เซอร์เบีย
ฝรั่งเศส กรีซ สโลวีเนีย กานา
กลุ่ม E กลุ่ม F กลุ่ม G กลุ่ม H
เนเธอร์แลนด์ อิตาลี บราซิล สเปน
เดนมาร์ก ปารากวัย เกาหลีเหนือ สวิตเซอร์แลนด์
ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ ไอวอรีโคสต์ ชิลี
แคเมอรูน สโลวาเกีย โปรตุเกส ฮอนดูรัส



ตัวนำโชค
ตัวนำโชคอย่างเป็นทางการในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 คือ ซากูมี (เกิดเมื่อ 16 มิถุนายน ค.ศ. 1994 (อายุ 15 ปี)), เป็นมนุษย์ครึ่งเสือดาวผมสีเขียว ชื่อของเขามีที่มาจาก "ZA", ซึ่งเป็นรหัสประเทศของประเทศแอฟริกาใต้, และ "kumi", ซึ่งมีความหมายว่า "สิบ" ซึ่งเป็นจำนวนภาษาที่หลากหลในแอฟริกา[2] สีของตัวนำโชคนี้บ่งบอกถึงชุดที่ทีมเจ้าภาพใช้ทำการแข่งขัน คือ สีเหลือง และ สีเขียว
วันเกิดของซากูมีใช้วันเดียวกับ
วันเยาวชนในประเทศแอฟริกาใต้ and their second group match. The year 1994 marks the first non-racial nationwide elections in South Africa. เขาอายุ 16 ปี ใน พ.ศ. 2553.[3]
คำขวัญประจำการของซากูมี คือ: "Zakumi's game is Fair Play." ซึ่งคำขวัญนี้ได้แสดงในป้ายโฆษณาดิจิทัลระหว่างการแข่งขันคอนเฟเดอเรชันคัพ 2009, และจะประกฎอีกในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010



สนามการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010




สีสันข้างสนามและกองเชียร์ของฟุตบอลโลก 2010




ลูกฟุตบอลที่ใช้ในการแข่งขัน




วีดีโอของถ้วยฟุตบอลโลก 2010






ภาพนักเตะของแต่ล่ะประเทศ


วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

ทักษะการเล่นฟุตบอล



การฝึกทักษะการเดาะลูกบอล
การเดาะลูกบอลด้วยหลังเท้า

ควรเริ่มด้วยการฝึกในสภาพพื้นสนามที่เป็นปูนซีเมนต์ พื้นไม้ หรือที่เรียบเพื่อต้องการให้ลูกบอลกระดอน การตกหนึ่งครั้งแล้วเดาะด้วยหลังเท่าหนึ่งครั้งสลับกัน จะทำให้มีความรู้สึกสัมผัสที่ถูกต้องรู้ว่าลูกบอลลอยขึ้นลงอย่างไร ฝึกจนเกิดความชำนาญจึงค่อยๆเริ่มเดาะลูกบอลไม่ให้ตกพื้น แล้วเคลื่อนที่เดาะจากช้าไปสู่เร็ว
การเดาะบอลด้วยหลังเท้าจะนำไปสู่การรับลูกบอล การส่งลูกบอลและการยิงประตูด้วยหลังเท้าที่แม่นยำ
การเดาะด้วยเข่าหรือหน้าขา
การฝึกเริ่มด้วยผู้ฝึกจับลูกบอลสองมือเหนือหน้าขาประมาณ 1 ฟุต ปล่อยลูกบอลลงพร้อมยกเข่าขึ้นเดาะแล้วจับลูกบอลไว้แล้วปล่อยลงสลับขาไปเรื่อยๆ เมื่อเกิดความชำนาญแล้วไม่ต้องใช้มือช่วยให้ฝึกอยู่กับที่และเคลื่อนที่
ผลที่ได้รับจากการฝึกคือสามารถบังคับลูกบอลด้วยเข่าและหน้าขาให้ลูกบอลอยู่ใกล้ตัวมากที่สุดและมีกล้ามเนื้อหน้าท้องที่แข็งแรง
การเดาะลูกบอลด้วยศีรษะ
จุดที่ใช้เดาะคือหน้าผากบริเวณเหนือคิ้วใต้ตีนผม เพราะเป็นจุดที่สามารถรับแรงปะทะได้ดีที่สุด การฝึกให้เงยหน้าเกรงคอปรับระดับหน้าผากให้ขนานกับพื้น ใช้มือช่วยจับลูกบอลโยนสูงไม่เกินสองฟุตจากหน้าผาก ใช้แรงจากการย่อเข่าลำตัวยึดเข้าปะทะลูกเดาะหนึ่งครั้งใช้มือช่วยรับลูกเมื่อเกิดความชำนาญแล้วเลิกใช้มือช่วย
ผลที่ได้รับจากการฝึกสามารถบังคับและรับลูกบอลที่ลอยมาให้อยู่ใกล้ตัวมากที่สุด เพื่อพักให้เพื่อนร่วมทีมรวมถึงการส่งและโหม่งทำประตู
การเดาะลูกบอลด้วยข้างเท้าด้านใน
ใช้วิธีการเดียวกับการเดาะบอลด้วยหลังเท้าให้ลูกบอลตกกระดอนแล้วใช้ข้างเท้าด้านในเดาะเกร็งข้อเท้า จุดสัมผัสลูกบอลตั้งแต่ตาตุ่มไปถึง ขอบรองเท้าตก – เดาะสลับกันและสลับเท้าจนเกิดความแม่นยำชำนาญให้ฝึกอยู่กับที่แล้วฝึกแบบเคลื่อนที่
การเดาะลูกบอลด้วยข้างเท้าด้านใน ช่วยในการรับลูกบอลด้วย ข้างเท้าด้านในมีประสิทธิภาพ สามารถสร้างจังหวะส่งและจังหวะยิงด้วยข้างเท้าด้านในได้อย่างแม่นยำ


การฝึกทักษะการหยุดลูกบอล
การหยุดลูกบอล

การหยุดลูกบอลด้วยข้างเท้าด้านใน
1.เมื่อลูกบอลกลิ้งมากับพื้นให้หันหน้าเข้าหาลูกบอลหรือวิ่งเข้าหา ลูกบอล
2.สายตามองดูลูกจรดเท้าข้างไม่ใช่หยุดลงบนพื้น ให้ปลายเท้าตรงไปข้างหน้ายกเท้าข้างที่จะใช้หยุดขึ้นจากพื้นเล็กน้อย หันปลายเท้าออกข้างนอก
3.ขณะที่ลูกบอลเคลื่อนใกล้เข้ามาในระยะที่พอจะหยุดได้แล้ว ให้เหยียดเท้าข้างที่จะใช้หยุดรับออกไปรับลูกบอลกระทบข้าง ด้านใน
4.ขณะที่ลูกบอลกระทบเท้าให้ดึงเท้ากลับมาข้างหลัง เพื่อผ่อนตามแรงของลูกโดยเร็ว การปฏิบัติดังกล่าวจะทำให้ลูกบอลอยู่ในครอบครองของเท้าและไม่กระดอนออกไปห่างจากตัว
การหยุดลูกบอลด้วยข้างเท้าด้านนอก
การหยุดบอลด้วยข้างเท้าด้านนอก คือ การหยุดลูกโดยใช้หลังเท้าข้างนอกตรงด้านนิ้วก้อยหรือรับลูกที่มาทางด้านข้าง เช่นทางขวาและจะเล่นต่อไปทางขวา โดยไม่ต้องเสียเวลาหมุนตัวหาทิศทาง แต่โอกาสที่เล่นพลาดมีได้ง่าย ควบคุมลูกไว้ยากเพราะลูกมักจะกระดอนไปไกล
วิธีการหยุดลูกบอลด้วยข้างเท้าด้านนอก มีดังนี้
1. หันหน้าเข้าหาลูกบอล สายตามองดูลูกบอลตลอดเวลา ต้องทรงตัวให้ดีโดยการกางแขนออก ย่อตัวลงเล็กน้อย
2. ใช้ข้างเท้าที่ไม่ใช้หยุดลูกบอลเป็นเท้าหลักและรับน้ำหนักแล้ว ให้ ลูกบอลตกทางด้านตรงข้างกับเท้าที่จะใช้หยุด
3. ยกเท้าข้างที่จะใช้หยุดไปรับลูกที่กลิ้งมากับพื้นหรือกระดอนขึ้นจากพื้น โดยใช้ข้างเท้าด้านนอกประคองลูกลงสู่พื้นเบา ๆ เมื่อ ลูกบอลกระทบเท้าให้ผ่อนความแรงเล็กน้อย
การหยุดลูกบอลด้วยฝ่าเท้า
1. เมื่อลูกบอลกลิ้งมากับพื้นให้หันหน้าเข้าหาลูกบอลพร้อมกับยกเท้าข้างที่จะหยุดขึ้นยกปลายเท้าให้เงยขึ้น สันเท้าห่างขึ้นประมาณ 3 นิ้ว
2. ย่อตัวลงกางและแขนออก โน้มตัวไปข้างหน้า เข่าของเท้าจะหยุดงอเล็กน้อย เมื่อลูกบอลกลิ้งผ่านมาจนอยู่ใต้ฝ่าเท้าให้ใช้ฝ่าเท้าประกบลูกบอลที่กลิ้งมากับพื้น โดยกดปลายเท้าลงเบา ๆ พร้อมกับเหยียดขาลงเล็กน้อย
3. ถ้าลูกบอลกลิ้งมาแรงให้ผ่อนแรงเท้าตามความแรงของลูก เพื่อไม่ให้ลูกกระดอนไปจากเท้าอย่าใช้วิธีกระทืบลูกบอล


การฝึกทักษะการเลี้ยงลูกบอล
การเลี้ยงลูกบอล หมายถึง การพาลูกบอลไปด้วยการใช้เท้าทั้งสองเข้าสลับกัน จะเป็นการเดินหรือวิ่งก็ตาม เราสามารถที่จะไปได้ตามทิศทางที่ต้องการ ช้า เร็ว หรือหลบหลีกด้วยการใช้เท้าทั้งสองข้างบังคับลูก รวมทั้งการหลอกล่อ ป้องกันหรือเพื่อการพาไปยิงประตู
การเลี้ยงลูกบอลหรือบังคับลูกบอลให้อยู่ในครอบครองนับว่ามีประโยชน์มากในการเล่นฟุตบอล เพราะผู้ที่จะเล่นฟุตบอลให้ได้ดีนั้น จะต้องมีความคุ้นเคยต่อลูกบอลก่อน ทั้งต้องรู้จักวิธีบังคับ ลูกบอลด้วยการเลี้ยง การเดาะ การโหม่ง เพื่อหลบหลีกฝ่ายตรงข้ามและเคลื่อนไหวไปตามทิศทางที่ต้องการ ทักษะดังกล่าวจำเป็นต้องฝีกหัดจนรู้จังหวะของลูก การเตะลูกความแรงและวิถีของลูกรวมทั้งความอ่อนตัว ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ตลอดจนสายตาของผู้เลี้ยง ลูกบอลก็มีส่วนสำคัญมาก
การเลี้ยงลูกบอลด้วยข้างเท้าด้านใน
1. ให้ใช้สายตาชำเลืองดูที่ลูกบอล
2. ใช้ข้างเท้าด้านใน (ลูกแป) สัมผัสลูกบอลเบาๆ
3. การพาลูกบอลให้เคลื่อนที่ไปนั้นต้องสัมผัสเบาๆ ไม่ใช่การเตะและลูกบอลต้องห่างตัวไม่เกิน 1 ก้าว
4. ให้ใช้ข้างเท้าด้านในทั้ง 2 ข้างสัมผัสสลับกันไป
5. ในขณะที่เลี้ยงลูกบอล ต้องไม่เกร็งตัวหรือส่วนต่างๆ โดยเฉพาะเอวต้องอ่อน
การเลี้ยงลูกบอลด้วยข้างเท้าด้านนอก
1. ตามองไปยังทิศทางที่พาลูกไป หรือชำเลืองดูลูกบอลเป็น ครั้งคราว
2. ใช้เท้าด้านนอกทั้งเท้าซ้ายและเท้าขวาหรืออาจจะใช้ข้างเท้า ด้านในและด้านนอกช่วยในบ้างโอกาส
3. เขี่ยลูกบอลไปข้างหน้าเบา ๆ แล้วจึงตามลูกไป ให้น้ำหนักตัวโน้มไปข้างหน้า เข่าอยู่เหนือลูก ปลายเท้าบิดเข้าข้างในเล็กน้อย ในขณะที่เขี่ยลูกควรวิ่งด้วยปลายเท้าเพื่อสะดวกต่อการเขี่ยลูก
การเลี้ยงลูกบอลด้วยหลังเท้า
1. การเลี้ยงลูกด้วยหลังเท้ามีลักษณะเช่นเดียวกับการเลี้ยงลูกด้วยข้างเท้าด้านใน และการเลี้ยงลูกบอลให้ลูกบอลสัมผัสกับบริเวณที่เราผูกเชือก ปลายเท้าเหยียดชี้ลงพื้น
2. ให้โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย
3. อย่าใช่วิธีการเตะให้ทำเหมือนการสะกิด ควรใช้ข้อเท้าช่วย คล้ายสลัดเท้า
การฝึกทักษะการโหม่งลูกบอล

การโหม่งลูกบอล คือ การใช้บริเวณหน้าผากเป็นส่วนที่สัมผัส ลูกบอล เพราะเป็นจุดที่สามารถรับแรงปะทะได้ดี
การโหม่งมี 3 ประเภท
- การโหม่งให้โด่ง
- การโหม่งระดับอก
- การโหม่งลงพื้น
วิธีการโหม่ง
- ตาต้องมองดูลูกบอลอยู่ตลอดเวลา ห้ามหลับตาโดยเด็ดขาด
- ลำคอเกร็ง ใช้หน้าผากสัมผัสลูกบอล
- การโหม่งให้เป็นไปในทิศทางที่ต้องการให้ใช้ลำตัวช่วย โดยบิดตั้งเอว อย่าสลัดคอ
- ให้ใช้เข่า ลำตัว ช่วยในการโหม่ง โดยการโยกตัว ลักษณะของลูกบอลจะแรงหรือค่อยอยู่ที่ลักษณะของลูก บอลที่ลอยมาหรือการกระทำต่อลูกบอลนั้น
- การโหม่งจะยืนอยู่หรือกระโดดโหม่งก็ตามให้ดูที่จังหวะการเคลื่อนที่มาของลูกบอล สำคัญต้องใช้หน้าผากเท่านั้น
การโหม่งให้โด่ง
เป็นการโหม่งเพื่อให้ข้ามศีรษะของ คู่ต่อสู้ที่อยู่ขวางหน้า อาจจะยืนอยู่เฉยๆ หรือกระโดดโหม่งก็ตาม เหมาะสำหรับผู้เล่นกองหลังหรือกองกลาง
วิธีการปฏิบัติ
ให้เงยหน้า เกร็งคอ เอนหลังเล็กน้อย ใช้แรงส่งขึ้นมาตั้งแต่เท้าและหัวไหล่ ลืมตา โน้มตัวกระแทกไปข้างหน้า
การโหม่งระดับอก
เป็นการโหม่งเพื่อส่งให้เพื่อน ในการเล่นความแรงหรือน้ำหนัก อยู่ที่จังหวะและระยะทางความใกล้หรือไกล
วิธีการปฏิบัติ
ให้กดคางลงมาเล็กน้อย โน้มตัวไปข้างหน้า ไม่ต้องกระแทกมากนัก เมื่อโหม่งแล้วจึงเปิดคางเล็กน้อย
การโหม่งลงพื้น
เป็นการโหม่งเพื่อยิงประตูหรือเปลี่ยนทิศทาง ลูกโหม่งลงพื้นนี้กองหน้ามักจะใช้ในการยิงประตู
วิธีการปฏิบัติ
หดตัว ถอยหลัง และให้คางกดชิดอกของตัวเองเหมือนก้มศีรษะลง คล้ายคำนับ และเพิ่มแรกกระแทก หรือพุ่งใส่ตัวก็ได้ เพื่อให้ลูกนั้นพุ่งได้แรงและเร็วขึ้น
การฝึกทักษะการทุ่มลูกบอล
การทุ่มลูกบอล

การทุ่มลูกบอล คือ การทุ่มลูกบอลเข้าสู่สนาม ตามกติกา เมื่อมี ลูกบอลออกทางด้านเส้นข้าง ฝ้ายตรงข้ามจะต้องมาทุ่มลูก ตรงที่จุดลูกบอลออกเข้าสู่สนามทุกครั้ง การทุ่มที่ถูกกติกาจะต้องปฏิบัติดังนี้
1.ต้องทุ่มลูกด้วยมือทั้งสองข้าง
2.ลูกบอลต้องมาจากด้านหลัง (ท้ายทอย) ผ่านศีรษะไปข้างหน้าติดต่อกันเป็นจังหวะเดียว
3.แขนทั้งสองข้างต้องตึงจะเอียงหรืองอด้านใดด้านหนึ่งไม่ได้
4.เท้าทั้งสองข้างต้องอยู่บนพื้นในขณะทุ่มจะยกข้างใดข้างหนึ่งไม่ได้
วิธีการทุ่มลูกบอล
1. จับลูกบอลด้วยฝ่ามือทั้งสองค่อนไปข้างหลังของลูกให้กระชับ แล้วยกลูกบอลข้ามศีรษะไปข้างหลัง การทุ่มต้องใช้กำลังจากแขนทั้งสองและใช้นิ้วมือกดส่งลูกบอลออกไป
2. การทุ่มด้วยมือข้างเดียวถือว่าผิดกติกา แม้ว่ามืออีกข้างหนึ่งจะช่วยประคองอยู่ก็ตาม เวลาทุ่มผู้ทุ่มจะเขย่งส้นเท้าก็ได้ แต่เท้าทั้งสองจะต้องอยู่บนพื้นตลอดเวลา
3. ขณะทุ่มลูกบอลอาจจะใช้เท้าใดเท้าหนึ่งอยู่ข้างหน้า หรือแยกเท้าห่างจากกันประมาณ 1 ช่วงไหล่ ปลายเท้าทั้งสองเสมอกันหรือเท้าชิดกันก็ได้ แต่เท้าทั้งสองต้องอยู่นอกเขตสนาม สายตามมองไปตามทิศทางที่จะทุ่ม
4. เวลาทุ่มให้งอเข่าเล็กน้อย เอนตัวไปข้างหน้าปล่อยลูกให้ออกจากมือ ในขณะที่มีอยู่เหนือศีรษะ หากต้องการให้ลูกบอลไปไกลผู้ทุ่มอาจจะ ก้าวเท้าไปข้างหน้า 1 ก้าวหรือถือลูกบอลวิ่งมาแล้วทุ่มก็ได้


การฝึกทักษะการยิงประตู

การยิงประตู
การยิงประตู (Shooting) มีหลายลักษณะด้วยกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เวลา โอกาสและความสามารถเฉพาะตัวของผู้เล่น ซึ่งต้องอาศัยทักษะการเตะลูกนำมาใช้ในการยิงประตู
หลักในการยิงประตู ควรพิจารณาสิ่งต่อไปนี้
1. สามารถหาพื้นที่ให้ตัวเอง เพื่ออยู่ในตำแหน่งที่สามารถยิงประตูได้
2. เตะลูกให้เต็มเท้าทุกครั้งที่ยิง
3. ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะผ่านกองหลัง หรือกระโดดแย่งโหม่งเพื่อยิงประตูให้ได้
4. ประสานงานสอดคล้องกับเพื่อนร่วมทีมอย่างถูกจังหวะ ไม่ว่าจะเป็นการส่งคืนลูก วิ่งซ้อนจากหลัง การเข้าหาลูกที่โยนมาอย่างถูกต้อง
5. ต้องยิงให้ได้ทุกจังหวะและโอกาส
6. ยิงประตูให้เร็วและมีความรุนแรง
7. ยิงประตูลูกเลียดจะรับได้ยาก แต่ถ้าผู้รักษาประตูรูปร่างเตี้ยให้ยิง ลูกสูง
8. ยิงประตูมุมกว้างเสมอ นอกจากบางโอกาสจึงหลอกยิงมุมแคบ
9. อย่ายิงในขณะเสียการทรงตัว
10.หลอกให้ผู้รักษาประตูเสียหลักหรือหลงทางก่อนยิง
11.อย่าแย่งกันยิง ให้ผู้เล่นที่อยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบเป็นผู้ยิง
12.ดูการเคลื่อนไหวของผู้รักษาประตูก่อนยิงและควรยิงด้วยความมั่นใจ


Ronaldinho vs Ronaldo